โซเชียลมีเดียกับการศึกษาไทย
(Social
media in Thailand education)
การเรียนการสอนในยุคปัจจุบัน
ได้ปรับเปลี่ยนจากระบบการเรียนการสอนที่ครูเป็นผู้บรรยายแต่ผู้เดียว
มาเป็นการใช้เทคโนโลยีควบคู่ไปกับการสอน และครูเปลี่ยนบทบาทจากผู้ให้ความรู้
เป็นผู้ชี้แนะ การเรียนการสอนแบบเดิมที่ครูเป็นศูนย์กลางไม่สามารถช่วยให้นักเรียนเกิดทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่
21 ได้ดีพอ
ดังนั้นครูจึงต้องปรับเปลี่ยนวิธีการสอนและเข้าใจบทบาทของนักเรียนและครูที่ถูกต้อง
เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกฝนทักษะที่สำคัญและจำเป็นอยู่เสมอ
จะช่วยพัฒนาให้นักเรียนมีความพร้อมในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในศตวรรษที่ 21
ที่สิ่งแวดล้อมรอบตัวมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
![]() |
ภาพที่
1 การประยุกต์ใช้โซเชียลมีเดียสำหรับการเรียนการสอน
ที่มา
: http://www.roar.pro/wp-content/uploads/2013/03/socialmediatree.jpg
|
ความหมายของคำว่า
โซเชียลมีเดีย ไว้หลายความเห็น ดังนี้ ราชบัณฑิตยสถาน (2554) ได้บัญญัติคำว่า “Social
Media” ไว้ว่า “สื่อสังคม” หมายถึงสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ซึ่งเป็นสื่อกลางที่ให้บุคคลทั่วไปมีส่วนร่วมสร้างและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่างๆ
ผ่านอินเทอร์เน็ตได้ สื่อเหล่านี้เป็นของบริษัทต่าง ๆ ให้บริการผ่านเว็บไซต์ของตน
เช่น เฟซบุ๊ก (Facebook), ไฮไฟฟ์ (Hi5)
, ทวิตเตอร์ (Twitter), วิกิพีเดีย (Wikipedia)
ฯลฯ
กานดา รุณนะพงศา สายแก้ว
(ม.ป.ป.) อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้กล่าวว่า มีเดีย (Media)
หมายถึง สื่อหรือเครื่องมือที่ใช้เพื่อการสื่อสารโซเชียล (Social)
หมายถึง สังคม และในบริบทของโซเชียลมีเดีย
โซเชียลหมายถึงการแบ่งปันในสังคม
ซึ่งอาจจะเป็นการแบ่งปันเนื้อหา (ไฟล์, รสนิยม
ความเห็น) หรือปฏิสัมพันธ์ในสังคม (การรวมกับเป็นกลุ่ม) เพราะฉะนั้น
โซเชียลมีเดียในที่นี้หมายถึงสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่ทำให้ผู้ใช้แสดงความเป็นตัวตนของตนเองเพื่อที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับหรือแบ่งปันข้อมูลกับบุคคลอื่น
สรุปได้ว่า โซเชียลมีเดีย
หรือ สื่อสังคม หมายถึง สื่อดิจิทัลหรือซอฟแวร์ที่ทำงานอยู่บนพื้นฐานของระบบเว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ต
อันเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติการทางสังคมที่มีผู้จัดทำขึ้น
โดยเมื่อผู้ส่งสารพบเจอเรื่องราว เหตุการณ์ บทความ ประสบการณ์ รูปภาพ
วิดีโอและเพลงต่างๆ จึงนำข้อมูลเหล่านั้นมาแบ่งปันกับผู้ใช้ในโลกออนไลน์ภายใต้เครือข่ายของตนได้รับรู้และใช้ประโยชน์ร่วมกันอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ภาพที่
2 สื่อสังคมออนไลน์
ที่มา
: http://kathleendeggelman.com/wp-content/uploads/2013/06/social-media-companies.jpg
ปัจจุบัน กระทรวงศึกษาธิการมอบหมายให้สำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน
ดำเนินการจัดอบรมเพื่อกระตุ้นให้ครูไทย พัฒนาศักยภาพและส่งเสริมการใช้ social
media ในการจัดการเรียนรู้
โดยเล็งเห็นความสำคัญในการส่งเสริมและผลักดันให้ครูสามารถนำเครื่องมือออนไลน์ที่มีอยู่บนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมาใช้ในการจัดการเรียนรู้
ให้เกิดเป็นเครือข่ายและเกิดความร่วมมือกันระหว่างครูกับครู นักเรียนกับครู
และนักเรียนกับนักเรียนด้วยกัน โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา และสถานที่
ก่อให้เกิดการเรียนรู้แบบไม่มีที่สิ้นสุด
โดยเครื่องมือที่ทางสำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน
แนะนำให้ครูได้นำไปปรับใช้ ได้แก่
1. Facebook คือ
เว็บไซต์สำหรับให้ครูและนักเรียนสามารถสื่อสารและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันได้
โดยการตั้งกลุ่มรายวิชา เพื่อการสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างครูกับนักเรียน
และนักเรียนกับนักเรียน 2. WordPress คือ เว็บไซต์สำเร็จรูปหรือบล็อก
ที่นักเรียนและครูสามารถใช้สร้างบล็อกส่วนตัว หรือในแต่ละรายวิชาสำหรับเผยแพร่บทเรียนในแต่ละรายวิชา
หรือ สร้างปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนได้
3. Youtube คือ เว็บไซต์ที่ใช้ ในการแบ่งปันไฟล์วิดีโอ
ครูสามารถอัพโหลดและเผยแพร่วิดีโอการสอนผ่านเว็บไซต์ยูธูป
ใช้วิดีโอที่มีอยู่บนเว็บไซต์เป็นสื่อในการเรียนการสอน
และนักเรียนสามารถเผยแพร่ผลงานของตนเองให้เพื่อน ๆ และครูได้แสดงความคิดเห็น
4.Twitter คือ ใช้ในการสื่อสารข้อความสั้นๆ
โต้ตอบกันได้อย่างรวดเร็ว 5. Slideshare คือ ใช้ในการแบ่งบันเอกสาร
แม้การใช้โซเชียลมีเดียจะมีประโยชน์อย่างมากในบทบาทของเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนการเรียนการสอน
แต่หากครูไม่มีการจัดการที่ดีอาจส่งผลกระทบทางลบต่อนักเรียนได้ เพราะนักเรียนอาจยังไม่สามารถควบคุมหรือกำกับตนเองให้ใช้งานได้อย่างเหมาะสม
ซึ่งข้อดีและข้อเสียของการใช้โซเชียลมีเดียในการเรียนการสอนพอสรุปได้ดังนี้
ข้อดี
หากมีการใช้งานในทางที่ถูกต้อง จะส่งผลดีทั้งครูและนักเรียน ซึ่ง Poore
(2013) ได้ยกตัวอย่างไว้เช่น 1. เป็นการส่งเสริมความสามารถทางสติปัญญาให้แก่ผู้เรียน (Intellectual
Benefit)
2. เป็นการฝึกทักษะการสื่อสาร (Benefits for
Communication), การมีส่วนร่วม (Collaboration) รวมทั้ง ทำให้เกิดการเรียนรู้ทางสังคม (Socialization)
3. เป็นการเสริมสร้างแรงจูงใจ (Motivational Benefits)
4. ปรับสภาพแวดล้อมการเรียนแบบเปิด ง่ายต่อการเชื่อมโยง
สร้างความสัมพันธ์ระหว่างสังคมในชั้นห้องเรียน 5. สนับสนุนและรองรับการสื่อสาร 2 ทาง สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในวิธีการจัดการเรียนการสอนที่หลากหลาย
เช่น การเรียนรู้แบบร่วมมือ (collaborative learning), การเรียนรู้แบบกลุ่มเล็ก
(small group learning) หรือ การร่วมกันสร้างองค์ความรู้ (other
co-creation of knowledge)
ข้อเสีย
ผลกระทบที่เป็นอุปสรรคและปัญหาจากการใช้โซเชียลมีเดียในการเรียนการสอน
สามารถยกตัวอย่างได้ดังนี้ (จุฑามาศ สนกนก, 2555)
1. ความไม่มั่นใจในความเสถียรและความคงอยู่ของเว็บ
เพราะส่วนใหญ่โซเชียลมีเดียเป็นเว็บไซต์ที่เปิดให้บริการโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ในบางกรณีที่เว็บไซต์ปิดตัวลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
หรือมีค่าใช้จ่ายสำหรับการทำงานเกิดขึ้น เช่น เว็บไซต์ Ning.com ที่มีการเก็บค่าบริการของผู้ใช้งาน
2.
การเชื่อมโยงระหว่างระบบและข้อมูลผู้ใช้เพื่อการทำงานร่วมกันในสถานศึกษา
หากไม่มีการควบคุม ผู้ใช้ที่อาจขาดความระมัดระวังในการใช้งาน เช่น การโพสต์ข้อความหมิ่นประมาท
ก่อให้เกิดผลเสียต่อตนเองหรือองค์กรได้
3.
ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล หากไม่มีการป้องกันที่ดี
อาจมีผู้ไม่ประสงค์ดี นำไปใช้ในทางผิดได้
4.
อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องมีราคาสูง หากองค์กรนั้นไม่มีงบประมาณสนับสนุนเพียงพอ
จะทำให้ใช้อุปกรณ์นั้นๆ ได้ไม่คุ้มค่า เช่น
ระบบอินเทอร์เน็ตหรือห้องคอมพิวเตอร์ของโรงเรียน หากไม่มีงบประมาณในการปรับปรุงจะทำให้เกิดความล้าสมัย
หรือผู้ปกครองบางท่านที่ไม่สามารถสนับสนุนบุตรหลานในการซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์หรือแท็บเล็ตเป็นของตนเอง
5. การขาดการคัดกรองในการสืบค้นข้อมูล และการรับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
ก่อให้เกิดการขาดวิจารณญาณในการนำเสนอข้อมูล
รวมทั้งทำให้เนื้อหาที่นำเสนอผิดพลาดได้
บทสรุป
โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการเป็นเครื่องมือที่ครูและนักเรียนสามารถนำมาช่วยในการเรียนการสอน
ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเอกสาร การให้งาน การนำเสนองาน การอภิปรายแสดงความคิดเห็น
ฯลฯ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความรู้ และพัฒนาทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21
ของนักเรียนได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม
การนำโซเชียลมีเดียมาใช้ในการเรียนการสอน ครูควรคำนึงถึงผลกระทบทางด้านลบที่จะตามมาด้วย
ควรปฏิบัติให้เป็นแบบอย่างที่ดี ชี้แนะการใช้งานที่ถูกต้อง
สร้างความรู้เท่าทันสื่อ
เพื่อเป็นแนวทางหนึ่งในการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผู้บริโภคสื่อ
โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ในการเปิดรับเนื้อหาผ่านสื่อในเชิงวิเคราะห์วิพากษ์ และประเมินสื่อ
การสร้างความรู้เท่าทันสื่อนี้
โดยส่วนใหญ่แล้วจะเกิดจากการเรียนรู้ของเด็กผ่านการชี้แนะของครูและผู้ปกครอง
รวมถึงการพัฒนาความคิดในเชิงวิเคราะห์วิพากษ์ของเด็กเองผ่านการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงนั่นเอง
ทั้งหมดนี้เพื่อให้นักเรียนสามารถนำโซเชียลมีเดียมาช่วยพัฒนาความรู้และทักษะอย่างถูกวิธี
ส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น